|
||
There Will Be No Leave Today (1959) The Steamroller and the Violin (1960)
|
<<< | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | >>> ปี 1953 อันเป็นปีที่สตาลินตาย และหนึ่งปีก่อนที่อังเดรย์จะเข้าศึกษาใน VGIK นั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญทางการเมืองและสังคมของรัสเซีย อันถือเป็นโอกาสสำคัญของคนทำหนังในรุ่นดังกล่าว อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของโซเวียตอยู่ในความควบคุมของรัฐมาตั้งแต่ปี 1919 โดยมีองค์กรชื่อ Goskino (คณะกรรมการภาพยนตร์ของรัฐ) ที่ถูกตั้งขึ้นในปี 1922เป็นผู้ควบคุมแต่หลังมรณกรรมของสตาลิน โดยเฉพาะหลังการประชุมสภาพรรคครั้งที่ 20 ในเดือนกุมภาพันธ์ 1956 ที่ครุชเชฟ (Khrushchev) ประณามอาชญากรรมที่สตาลินทำ ทำให้โซเวียตเปิดกว้างมากขึ้น รัฐบาลตัดสินใจที่จะเพิ่มการผลิตภาพยนตร์มากขึ้น เพื่อนำไปสู่บรรยากาศทางการเมืองและสังคมที่ผ่อนคลายและเสรีขึ้น นโยบายดังกล่าวนำรัสเซียเข้าสู่ยุค ‘Thaw’ (หิมะละลาย) เนื่องจาก VGIK ไม่มีอุปกรณ์เพียงพอสำหรับนักเรียนทุกคน นักเรียนจึงต้องทำงานกันเป็นกลุ่ม ทาร์คอฟสกี้จึงได้กำกับหนังสั้นเรื่อง The Killers (Ubijtsi) ร่วมกับ Alexander Gordon และ Marika Beiku โดยดัดแปลงมาจากเรื่องของเออร์เนสต์ เฮมมิ่งเวย์ นับเป็นครั้งแรกที่ VGIK อนุญาตให้นักเรียนทำหนังจากบทประพันธ์ของนักเขียนต่างชาติ The Killers เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่บุกเข้าไปจี้เจ้าของบาร์เล็กๆแห่งหนึ่ง เพื่อหลบซ่อนอยู่หลังร้าน รอให้เหยื่อที่เขาต้องการสังหาร มาที่บาร์แห่งนี้ตามปกติ ทาร์คอฟสกี้ร่วมแสดงเป็นลูกค้าคนหนึ่งในบาร์ ที่เดินเข้ามาพร้อมกับผิวปากเป็นเพลง ‘Lullaby of Birdland’ ที่เขาได้ฟังจากการออกอากาศของ ‘เสียงแห่งอเมริกา’ ซึ่งในทศวรรษที่ 1950 เพลงนี้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเสรีภาพ The Killers ได้รับคำชมอย่างมากจาก Romm There Will Be No Leave Today เปิดเรื่องด้วยการค้นพบวัตถุระเบิดของนาซีจำนวนมาก ซึ่งถูกฝังอยู่ใต้ดินมาเป็นเวลากว่า 15 ปี แต่ปัญหาคือบริเวณนั้นได้กลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ไปแล้ว จึงต้องมีการอพยพผู้คนออกจากเมืองก่อนการเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดออกไป ตัวละครเอกของหนังเป็นนายทหารหนุ่มที่ต้องเสี่ยงชีวิตทำการขนย้ายระเบิด โดยไม่ได้หยุดในวันหยุด (ตามชื่อหนัง) อย่างไรก็ดี แม้ทาร์คอฟสกี้จะแสดงฝีมือในการสร้างบรรยากาศตึงเครียดในหนังได้เป็นอย่างดี แต่สุดท้ายแล้ว หนังสั้นเรื่องนี้ก็เป็นเหมือนหนังสดุดีวีรกรรมของทหารรัสเซีย เท่านั้นเอง
The Steamroller and the Violin เป็นหนังเรื่องแรกที่เขากำกับเพียงผู้เดียว เขาร่วมเขียนบทกับ Konchalovsky และได้ Vadim Yusov มาถ่ายภาพ ซึ่งทั้งคู่ก็ยังได้ร่วมงานกับทาร์คอฟสกี้อีกหลายครั้งในช่วงที่เขาทำหนังยาว The Steamroller and the Violin เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กชายนักเรียนไวโอลินที่มักถูกเพื่อนแกล้ง วันหนึ่งหนุ่มคนขับรถบดถนนได้เข้ามาช่วยไว้ ทั้งสองจึงได้เป็นเพื่อนกัน เด็กชายได้ลองขับรถบด และเล่นไวโอลินให้ชายหนุ่มฟัง ทั้งสองนัดว่าจะไปดูหนังกัน แต่เมื่อถึงเวลา แม่ของเด็กชายไม่อนุญาตให้ไป ส่วนชายหนุ่มเมื่อไม่เห็นเด็กชาย จึงตัดสินใจไปดูหนังกับหญิงสาวที่ชอบพอกับเขาแทน หนังถือเป็นส่วนหนึ่งในยุคที่กระแสหนังเด็กกำลังมาแรงในรัสเซีย และยังเป็นการเชิดชูชนชั้นแรงงานตามอุดมคติคอมมิวนิสต์ แต่อุดมไปด้วยความงามทางด้านภาพมากมาย เช่นฉากเงาสะท้อนในกระจก เงาสะท้อนในน้ำ เม็ดฝนที่ร่วงหล่น โดยเฉพาะฉากตึกที่ถูกทำลาย รวมถึงฉากความฝันในตอนจบ
| |
|
||
Ivan's Childhood หรือ My Name Is Ivan (1962) ดัดแปลงจากหนังสือของ Vladimir Bogomolov เกี่ยวกับอีวานเด็กกำพร้าอายุ 12 ปี ในช่วงสงคราม ที่ทำหน้าที่ลอบเข้าไปสอดแนมในกองทัพของศัตรู เขาได้รับความเอ็นดูอย่างมากจากร้อยเอก Kholin ที่ตั้งใจจะรับอีวานเป็นลูกบุญธรรม และได้พบกับร้อยโทหนุ่ม Galtsev ที่แอบชอบนางพยาบาลในค่าย Ivan's Childhood เปิดเรื่องเมื่ออีวานกลับมาที่ค่ายหลังจากที่ปฏิบัติภารกิจหนึ่งสำเร็จ และจบลงเมื่ออีวานออกไปทำภารกิจสุดท้าย ทาร์คอฟสกี้รับหน้าที่ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ต่อจากคนอื่นที่ถอนตัวไป (E. Abalov) และเขามีตัวเลือกในใจอยู่แล้วสำหรับบทอีวาน นั่นคือ Nikolai Burlyaev ซึ่งแสดงในหนังวิทยานิพนธ์ของ Konchalovsky ขณะที่บทเดิมของ Bogomolov เลือกที่จะเสนอภาพความโหดร้ายของสงครามและชะตาชีวิตของอีวานอย่างเป็นจริง ทาร์คอฟสกี้กลับตัดสินใจใส่ฉากความฝัน 4 ฉากเข้าไป เพื่อให้หนังเกิดพลังแบบบทกวี รวมทั้งเพื่อแสดงการโหยหาช่วงเวลาอันแสนสุขที่หายวับไปของอีวานเมื่อเกิดสงครามขึ้น ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรมของการสูญเสียความบริสุทธิ์ของวัยเยาว์ที่จะระลึกถึงได้ก็แต่ในความฝัน เพราะความจริงนั้นโหดร้ายและไม่ ‘งาม’ อย่างในฝัน Ivan's Childhood นับเป็นหนังเรื่องแรกที่ทาร์คอฟสกี้จับความงามของธรรมชาติได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะในความจริงหรือในความฝัน ในสมรภูมิหรือในหลุมหลบภัย โลกของทาร์คอฟสกี้ล้วนงามติดตรึง และแสดงพลังของธรรมชาติออกมาอย่างที่มันควรจะเป็น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่อาจสังเกตเห็นได้ในยามปกติ ก่อนออกฉาย หนังถูกทางการโซเวียตตั้งคณะกรรมการพิจารณา ซึ่งได้มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการใช้ภาพข่าวสารคดีสงครามและภาพศพว่าดูโหดร้ายเกินไป รวมถึงฉากรักในหนัง โดยเฉพาะเมื่อมองว่า Ivan's Childhood เป็นหนังเด็ก แต่ด้วยความช่วยเหลือของ Romm ที่ยืนกรานว่า หนังเรื่องนี้ “เต็มไปด้วยพลัง” และซีนเหล่านั้นเป็นสิ่งจำเป็นในหนัง ทำให้ในที่สุด หนัง ก็ได้ออกฉายโดยไม่ต้องตัดอะไรเลย Ivan's Childhood ได้รางวัลสิงโตทองคำที่เวนิซ เขากลายเป็นผู้กำกับรัสเซียที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รางวัลระดับโลก ในปีเดียวกัน Konchalovsky พาหนังสั้นของเขา The Boy and the Dove ไปคว้ารางวัลหนังสั้นยอดเยี่ยมในเวทีเดียวกัน ตรงข้ามกับทางการโซเวียต นักวิจารณ์ยุโรปเรียก Ivan's Childhood ว่าเป็นหนังของพวกกระฎุมพี ซึ่งไม่เข้ากับกระแสสังคมนิยมที่กำลังมาแรงในยุโรปขณะนั้น แต่ ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean-Paul Sartre ) กลับเขียนบทความปกป้อง และเรียกหนังว่าเป็น ‘ สังคมนิยมเหนือจริง’ (Socialist Surrealism) เขาวิเคราะห์ว่า อีวานเป็นได้ทั้งเด็กบริสุทธิ์ที่โหยหาความรัก และปีศาจที่ในส่วนลึกแล้วมีแต่ความรุนแรง ใช้ชีวิตเพียงเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่จะล้างแค้น เหมือนเด็กๆที่เป็นเหยื่อในสงครามแอลจีเรีย ที่ไม่สามารถแยกความน่าสะพรึงกลัวกลางวันแสกๆของความจริงออกจากความฝันได้ อิงมาร์ เบิร์กมัน (Ingmar Bergman) กล่าวถึง Ivan's Childhood ไว้ว่า
ในปี 1962 นี้เองที่หนังสือรวมบทกวีเล่มแรกของอาร์เซนีได้รับการตีพิมพ์ ทาร์คอฟสกี้ยกย่องพ่อของเขาว่าเป็นกวีร่วมสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรัสเซีย ขณะที่นักวิจารณ์เรียกเขาว่าเป็นกวีที่มีฝีมือดีคนหนึ่งเท่านั้น
|
||
<<< | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | >>> |