PIER PAOLO PASOLINI
ภาคต้น : บทเพลงของคนบาป (1)

 



Carlo Alberto Pasolini


| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | หน้าต่อไป

กวีอิตาเลี่ยนผู้ประกาศตัวว่าเป็นทั้งคอมมิวนิสต์ รักร่วมเพศ และปฏิเสธพระเจ้า ผู้กำกับภาพยนตร์ที่โด่งดัง จากงานที่ถูกตีค่าว่าเป็นเพียงหนังโป๊อนาจาร จนถึงงานที่ถูกห้ามฉายไปทั่วโลกอย่าง Salò Or 120 Days of Sodom ที่สร้าง จากวรรณกรรมของนักเขียนฝรั่งเศสที่อื้อฉาวที่สุดในคริสตศตวรรษที่ 18 มาเป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนความตกต่ำของความเป็นมนุษย์ ได้อย่างน่าหดหู่และเลวร้ายที่สุด ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายในชีวิต ของศิลปินผู้อื้อฉาวที่สุดในครึ่งหลังของคริสตศตวรรษที่ผ่านมา

ภาพเหมือนของศิลปินในวัยหนุ่ม

เกิดเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ค. ศ. 1922 ในเมือง Bologna ประเทศอิตาลี Pier Paolo Pasolini เป็นบุตรคนที่สองของครอบครัวนายทหารและภรรยาที่เป็นครู (Carlo Alberto และ Susanna Colussi Pasolini) หลังจากที่บุตรคนแรกที่เกิดในปี 1915 และมีชีวิตอยู่ได้เพียงสามเดือน … ในปีเดียวกัน 24 ตุลาคม 1922 Benito Mussolini ขึ้นเป็นผู้นำรัฐบาลอิตาลี นำประเทศเข้าสู่ระบอบเผด็จการ

อาชีพที่กำลังก้าวหน้าของพ่อทำให้ครอบครัวต้องย้ายที่อยู่อยู่เป็นนิจ จาก Bologna ไป Parma, Conegliano และ Belluno ซึ่งในปี 1925 ที่นี่เองที่น้องชายของเขา Guidalberto หรือ Guido ได้ออกมาดูโลกเป็นครั้งแรก ในครอบครัวที่พ่อผู้เข้มงวด นิยมฟาสซิสต์มุสโสลินีและการพนัน ความสัมพันธ์กับภรรยาที่เย็นชา ทำให้เธอมอบความรักที่เธอมีให้แก่ลูกชายคนที่สอง ที่เหมือนมาทดแทนลูกคนแรกที่จากไป และเธอก็คือคนที่ส่งเสริม ให้ลูกชายสนใจ ในงานวรรณกรรม… “เธอเล่านิทานมากมายให้ผมฟัง สำหรับผมแล้วแม่เป็นเหมือน Socrates เธอมีทรรศนะที่เป็นอุดมคติเหลือเกิน เธอเชื่อในความเป็นวีรบุรุษ ความเมตตา ความศรัทธาต่อศาสนา ผมโตขึ้นมาท่ามกลางความคิดแบบนี้

ปี 1935 ครอบครัวพาโซลินี่ย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดของแม่ที่หมู่บ้าน Casarsa ใน Friuli ที่นี่ทำให้เขาหลงใหลในความบริสุทธิ์ของชนบทรวมทั้งเด็กชายคนเลี้ยงแกะชื่อ Bruno ขณะนั้นอิตาลีกำลังอยู่ในช่วงที่ระบบเผด็จการฟาสซิสต์เรืองอำนาจ เด็กชายพาโซลินี่ก็เติบโตขึ้นมาท่ามกลางสังคมเช่นนี้ด้วย ครั้งหนึ่งในช่วงวัยรุ่น เขาเคยเข้าร่วมกับทีมฟุตบอลในคลับที่เป็นของพวกฟาสซิสต์ เมื่อจบชั้นมัธยมเขาเข้าศึกษาต่อ ในคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัย Bologna และกลายเป็นคนที่แสดงพรสวรรค์ออกมา อย่างโดดเด่นกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน … มิถุนายน 1940 อิตาลีประกาศเข้าร่วมสงคราม เป็นพันธมิตรฝ่ายอักษะกับเยอรมัน

 


Pier Paolo Pasolini

 

ปี 1942 พาโซลินี่รวบรวมบทกวีของตัวเองพิมพ์เป็นเล่ม ชื่อ Poesie a Casarsa (Poetry at Casarsa) ภายในเล่มประกอบด้วยบทกวีที่เขียนขึ้นโดยใช้ภาษาอิตาเลี่ยนและ Friulian ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่น งานชิ้นนี้ทำให้เขาได้รับการจับตามอง จากนักวิจารณ์วรรณกรรมผู้ทรงอิทธิพลอย่าง Gianfranco Contini

ปี 1943 เขาถูกเกณฑ์ทหารไปอยู่ในกองทัพที่ Livorno แต่ต่อมาเขาตัดสินใจหนี เมื่อรู้ว่าจะถูกส่งไปช่วยเยอรมันรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ... 10 กรกฎาคม 1943 กองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นอิตาลีที่ซิซิลี และเริ่มถล่มกรุงโรม เมื่อสงครามกำลังตึงเครียด ครอบครัวพาโซลินี่ย้ายไปอยู่ที่ Versuta เพื่อหลบการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร และการครอบครองของเยอรมัน ที่นี่เขาหันไปเป็นอาจารย์สอนวรรณกรรมในโรงเรียน แต่ Guido น้องชายปฏิเสธที่จะไปอยู่ด้วย และตัดสินใจเข้าร่วมกับฝ่ายต่อต้านเยอรมันที่มีฐานที่มั่นอยู่ในภูเขา ทำตั้งแต่แจกใบปลิวไปจนถึงขโมยอาวุธ ขณะนั้นพาโซลินี่ผู้พ่อถูกจับเป็นเชลยสงครามอยู่ในเคนยา

25 กรกฎาคม 1943 มุสโสลินียอมลงจากตำแหน่ง แต่เยอรมันยังคงยึดครองบางส่วนของอิตาลีเอาไว้ และส่งคนเข้าไปช่วยมุสโสลินีออกจากคุก มาตั้งเป็นสาธารณรัฐ Salò ( Republic of Salò ) ทางตอนเหนือใน Friuli ... เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1945 Guido และพวกถูกล้อมสังหารหมู่ใน Porzus malga เขาได้รับบาดเจ็บและหนีรอดออกไปได้ แต่ก็ถูกจับกลับมาทรมานจนตาย ครอบครัวพาโซลินี่รู้ข่าวนี้ในภายหลัง … พาโซลินี่กล่าวในภายหลังว่า นี่เป็นความเสียใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา รวมทั้งช่วงเวลาที่แม่ได้ฟังข่าวนี้ จากปากของเขาเองด้วย

ปี 1945 ขณะที่ยังไม่มีใครรู้ชะตากรรมของ Guido, พาโซลินี่ผู้พ่อก็ถูกส่งตัวกลับมาที่โรม ในสภาพที่ “ทรุดโทรมจากอาการป่วย เจ็บปวดจากการพังทลายของระบบฟาสซิสต์ในประเทศ และของภาษาอิตาเลี่ยนในครอบครัว (ที่ต้องอยู่ในสังคมที่ใช้ภาษา Friulian) …(กลายเป็น) ผู้ปกครองที่ไร้อำนาจ เกรี้ยวกราดและบ้าคลั่งอันเป็นผลจากไวน์เลวๆ รักแม่มากขึ้น ถึงแม้เธอจะไม่เคยรักเขาตอบ” จากนายทหารกลายมาเป็นคนดูแลบ้าน ในขณะที่เมียและลูก ออกไปสอนหนังสือ “… เขากลับมาที่ Casarsa มาอยู่ในการคุมขังอีกแบบหนึ่ง: และเริ่มสิบสองปี (สุดท้าย) แห่งความทรมาน

28 เมษายน 1945 มีผู้พบศพมุสโสลินีในป่าที่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง ... 7 พฤษภาคม 1945 เยอรมันลงนามยุติสงคราม ... 2 มิถุนายน 1946 ประชาชนอิตาลี 54.3% ลงมติเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐ กษัตริย์ฮัมเบิร์ตสละราชสมบัติ แล้วย้ายไปพำนักที่โปรตุเกส

 


ปี 1938


Guido Pasolini

หลังสงคราม The Partito d’Azione ซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านฟาสซิสต์ในช่วงสงคราม (Guido เป็นสมาชิก) ได้แตกออกเป็นสองกลุ่ม ฝ่ายอนุรักษ์นิยมแยกออกไปตั้งเป็น Christian Democrats (DC) มีนโยบายทุนนิยม อยู่ข้างสำนักวาติกันและอเมริกัน ส่วนพวกที่เป็นฝ่ายซ้ายก็ร่วมกันก่อตั้งพรรคสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ (PCI) เกิดสงครามเย็นระหว่างทั้งสองกลุ่มเป็นเวลาอีกหลายทศวรรษต่อมา

ปี 1946 พาโซลินี่เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ชื่นชมและชักชวนให้คนหันมาเป็นคอมมิวนิสต์ และปีต่อมาเขาก็สมัครเข้าพรรคอย่างเป็นทางการ “สิ่งที่ทำให้ผมเป็นคอมมิวนิสต์ก็คือ การดิ้นรนต่อสู้ของคนงานในฟาร์มที่ Friuli ต่อเจ้าของที่ดินหลังสงคราม” แต่พาโซลินี่ก็ต้องผิดหวัง เมื่อ Christian Democrats เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งในปี 1948 ภายใต้การสนับสนุนของอเมริกา และคริสตจักรก็กลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง

ในช่วงนั้นเขาเขียนทั้งบทกวี เรื่องสั้น งานวิจารณ์ศิลปะและบทความการเมือง งานหลายชิ้นของเขาพูดถึงความปรารถนาแบบรักร่วมเพศอย่างตรงไปตรงมา ทั้งที่คำว่า Homosexuality เพิ่งรู้จักกันไม่นานในอิตาลี จากรสนิยมส่วนตัวและความคิดทางการเมือง ที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ทำให้มีคนไม่ชอบหน้าพาโซลินี่อยู่มาก ทั้งจากกลุ่มฟาสซิสต์เก่า กลุ่ม Christian Democrats และรวมทั้งในพรรคคอมมิวนิสต์เอง

วันที่ 30 กันยายน 1949 ในเทศกาลวัน Saint Sabina ที่สถานที่ชื่อ Ramuscello ที่เมือง Cordovado ระหว่างการเต้นรำ พาโซลินี่เดินแยกออกไปในท้องทุ่งข้างนอก กับเด็กชายสี่คนอายุ 14-16 ปี หลังจากนั้นสามสัปดาห์เขาถูกจับในข้อหา ‘ แสดงพฤติกรรม หยาบโลนในที่สาธารณะ’ หนังสือพิมพ์ใน Casarsa ตีพิมพ์เรื่องของเขาอย่างเอิกเกริก วันที่ 29 ตุลาคม PCI โหวตให้เขาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ต่อมาภายหลังเขาจึงได้รู้ว่า เป็นแผนของพวก DC กับบาทหลวงและตำรวจในพื้นที่ ที่ถึงจะไม่ได้สร้างกับดักเองแต่ก็เฝ้าดู และรอคอยในสิ่งที่พวกเขาคาดหวังว่าพาโซลินี่จะทำ คดีนี้ต้องใช้เวลาอีกกว่าสองปี ก่อนที่เขาจะพ้นผิด

เหตุการณ์นี้ทำให้เขาต้องหยุดสอนหนังสือที่เขารัก พ่อของเขารู้สึกเสียหน้า และโทษภรรยาในสิ่งที่ ‘ลูกโฮโมของเธอ’ ทำ!! … วันที่ 28 มกราคม 1950 พาโซลินี่พาแม่ออกจากบ้าน ในระหว่างที่พ่อยังหลับ ขึ้นรถไฟมุ่งสู่กรุงโรม…

 
 
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | หน้าต่อไป